หลังจากเปิดตัวในฐานรถยนต์ K-Car พลังงานไฟฟ้ารุ่นต้นแบบ มาตั้งแต่ปี 2019 ล่าสุดในปี 2022 รุ่นการผลิตเพื่อการจำหน่ายจริงของ Nissan Sakura EV ก็มาถึง รถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มาพร้อมกับแนวคิด IMk ซึ่งโมเดลนี้จะทำหน้าที่เป็น EV ระดับเริ่มต้นของบริษัท ทั้งในด้านราคา ขนาด และการใช้งานในรูปแบบของรถในเมือง
[adsforwp id=”1302″]
![]()
2022 Nissan Sajura นั้นเป็นการพัฒนาร่วมกันกับ Mitsubishi Motor ซึ่งร่วมมือกันพัฒนามาตั้งแต่รุ่นที่ใช้งานเครื่องยนต์สันดาป และมีแฝดคนล่ะฝาของ Sujura ก็คือ Mitsubishi eK X จนมาถึงรุ่นที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า ก็ยังมีการแชร์ร่วมกันกับรุ่น ek X EV อีกด้วย
![]()
2023 Nissan Sujura EV จะเป็นรถยนต์ในกลุ่ม K-Car ที่มีกฎระเบียบเป็นมาตรฐานวางไว ตัวรถจะมาพร้อมกับมิติความยาว 3,395 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,475 มิลลิเมตร ความสูง 1,655 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,495 มิลลิเมตร และตัวรถยังมีวงเลี้ยวเพียง 4.8 เมตรเท่านั้น
[adsforwp id=”1302″]
![]()
แพลตฟอร์มใหม่ที่ใช้งานบนตัวรถนั้น มีความแตกต่างกับแพลตฟอร์มที่ใช้งานในโมเดล ICE (เครื่องยนต์สันดาปภายใน) โดยใช้หลักการออกแบบเพื่อลดระยะยื่นและเพิ่มระยะห่างระหว่างเพลาเพื่อให้มีพื้นที่วางขาภายในมากขึ้น สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 4 คน และจุสัมภาระได้ 107 ลิตร นอกจากนี้ยังเป็นหนึ่งใน EVs ที่เบาที่สุดอีกด้วย โดยให้น้ำหนักอยู่ที่ 1,070 กิโลกรัมในรูปแบบมาตรบาน ส่วนรุ่นท๊อปที่จะจัดของแต่งและอุปกรณ์เสริมต่างๆ จะมีน้ำหนักที่มากกว่าเพียง 10 กิโลกรัมเท่านั้น
![]()
หัวใจสำคัญของ Nissan Sakura EV ก็คือมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้า ที่ให้กำลังสูงสุด 63 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 195 นิวตันเมตร และตัวรถยังมีการจำกัดความเร็วสูงสุดที่ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจะใกล้เคียงกับ Mitsuboshi eK X EV ที่ใช้แพลตฟอร์มที่เหมือนกัน และแน่นอนว่าแบตเตอรี่บนตัวรถนั้น จะเป็นชุดแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่มีความจุ 20 kWh และพลังงานเพียงพอสำหรับระยะทาง 180 กิโลเมตรและใช้ระยะเวลาในการชาร์จไฟ 8 ชั่วโมงด้วยปลั๊กไฟบ้านเท่ากันอีกด้วย
![]()
แม้ว่าจะไม่ใช่ EV ที่ทรงพลังที่สุด แต่ Sakura ก็มีโหมด Sport ร่วมกับ Standard และ Eco โดยทาง Nissan ระบุว่าได้พัฒนาห้องโดยสารที่เงียบที่สุดในเซกเมนต์ kei และเป็นรถยนต์คันแรกในประเภทนี้ที่บังคับเลี้ยว เร่งความเร็ว เบรก เปลี่ยนเกียร์ และใช้เบรกจอดรถขณะจอดรถโดยอัตโนมัติ ด้วยระบบ ProPILOT Park
![]()
สำหรับการจำหน่ายอย่างเป็นทางการนั้นจะเริ่มในฤดูร้อนของประเทศญี่ปุ่น โดยจะมีการแบ่งเกรดออกเป็น 3 ระดับ เริ่มต้นด้วย S, X และไปสุดที่เกรด G และมีราคาเริ่มต้น 1.78 ล้านเยน หรือราวๆ 476,939 บาท โดยราคานี้จะรวมกับเงินอุดหนุนจากภาครัฐแล้ว
Credit : www.motor1.com
[adsforwp id=”1302″]
