เรียกได้ว่าเป็นการฉีกแนวและธนบของซีรี่ส์ระดับ Hi-End ที่สืบทอดมาอย่างช้านานกับ Toyota Crown รุ่นใหม่ ที่ล่าสุดได้ทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในตลาดรถยนต์อเมริกา ที่มาพร้อมกับการปรับรูปแบบใหม่ เปลี่ยนจาก ซีดาน 4 ประตูสุดหรู มาเป็น ซีดานลูกผสมที่ใช้องค์ประกอบของรถ SUV ที่แปลกตา หรือเราควรเรียกมันว่ารถในแนว sedan-SUV กันดี
[adsforwp id=”1302″]
![]()
Toyota Crown เปิดตัวในฐานะของรถยนต์ Sedan 4 ประตู ในตลาดอเมริกา มาตั้งแต่ปี 1950 ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในกลุ่มผู้ใช้งานระดับไฮโซ ด้วยคุณสมบัติที่เป็นรถยนต์ขับหลังที่มาพร้อมกับความหรูหราและเทคโนโลยีการประกอบที่ทันสมัย แต่แล้วความนิยมของโมเดลก็ลดลงไป ซึ่งเกิดมาจากราคาจำหน่ายที่แพงจนเกินพอดี และมีผู้ผลิตในประเทศเข้ามามีบทบาทใน Segment ระดับเดียวกัน จนทำให้ Toyota เลิกการจำหน่าย Crown ไปในช่วงปลายยุค 70’s จนกระทั่งมาโผล่อีกทีในช่วงกลางยุค 22’s
![]()
การกลับมาครั้งใหม่ของ Toyota Crown ในครั้งนี้ เรียกได้ว่าแหวกแนวของซีรี่ส์ไปพอสมควร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไร เพราะก่อนหน้านี้ Toyota Crown เองก็มีการเปลี่ยนบทบาทจากรถ Sedan หรูไปสู่รถยนต์ SUV มาแล้วในตลาดประเทศจีน แต่ในความแหวกนี้ก็มีสิ่งใหม่ที่เกิดขึ้น เพราะ Crown ในตลาอเมริกานั้น จะยังคงยึดเอาแนวทาง Sedan 4 ประตูดั่งเดิมของซีรี่ส์ แต่มีการปรับเปลี่ยนใส่ความนิยมสมัยใหม่ที่มีต่อรถยนต์ SUV เข้าไป ทำให้ตัวรถดูมีความสูง และมีขนาดที่กว้างเป็นพิเศษ เมื่อเทียบกับสรีระของคนทั่วๆ ไปแล้ว ตัวรถจัดว่ามีขนาดที่ใหญ่มาก แต่ผู้ผลิตกลับบอกกับผู้บริโภคว่า ตัวรถจะเป็นรถ Sedan ขนาดกลาง ที่ให้คุณสมบัติทั้งการใช้งานในรูปแบบครอบครัวและสปอร์ตในคราวเดียวกัน
![]()
มาดูกันที่ขนาดกันก่อน 2023 Toyota Crown จะมาพร้อมกับขนาดความยาว 194 นิ้ว กว้าง 72.4 นิ้ว สูง 60.6 นิ้ว และระยะฐานล้อยาว 112.2 นิ้ว ซึ่งจะเห็นได้ว่าจะมีสัดส่วนที่ใกล้เคียกับ Toyota Avalon รถยนต์ 4 หระตูขนาดใหญ่ที่ทำตลาดในอเมริกา แต่มีความแตกต่างกันที่ Crown ใหม่นั้นจะมีความสูงรวมที่มากกว่า และเมื่อเทียบกับ Sedan ขนาดกลางในตลาดปัจจุบัน Crown ใหม่มีส่วนสูงที่มากกว่าคู่แข่งเฉลี่ย 4 นิ้ว
[adsforwp id=”1302″]
![]()
การจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์ค่อนข้างสร้างความแปลกใจให้กับเรามาก แต่เมื่อดูสเปกแล้วกลับประหลาดใจมากกว่า เพราะ Crown ใหม่นั้น จะเริ่มต้นด้วยเกรด XLE ที่จะมาพร้อมกับขุมกำลังไฮบริด 2.5 ลิตร 4 ลูกสูบ ที่เราพบบน RAV4 Hybrid crossover โดยทางผู้ผลิตยังไม่มีการประกาศตัวเลขค่าสมรรถนะ แต่คาดว่า จะมีกำลังสูงสุดใกล้เคียง 236 แรงม้า (HP) ตามกำลังของ RAV4 Hybrid crossover และมันจะมาพร้อมกับมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้า 2 ตัว และระบบขับเคลื่อนแบบ AWD เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นไปจนถึงรุ่นหางอย่าง Crown Limited
![]()
![]()
ขยับไปที่ตัวท๊อป Crown Platinum จะมาพร้อมกับภาพลักษณ์ที่สปอร์ตเร้าใจ และขุมกำลัง 2.4 ลิตรเทอร์โบ 4 ลูกสูบ พร้อมกับมอเตอร์ขับกำลังไฟฟ้า 2 ตัวที่เพลาหน้าและหลัง โดยมีการปรับขนาดมอเตอร์ขับที่เพลาหลังให้มีขนาดที่ใหญ่กว่ารุ่นมาตรฐาน ซึ่งจะเป็นการยกเอามอเตอร์และเลย์เอาต์มาจาก Lexus RX 500h F Sport รุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมกับโหมดการขับขี่พิเศษที่มีเฉพาะในเกรดนี้เท่านั้น อย่างโหมด Sport+ ที่จะปลดปล่อยพลังสูงสุดของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ให้กำลังสูงสุด 367 แรงม้า (HP) แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร
![]()
![]()
มาถึงห้องโดยสาร จะพบกับหน้าจอแสดงผลส่วนคนขับขนาด 12.3 นิ้วแบบดิจิตอล และหน้าจอสัมผัส ขนาด 12.3 นิ้ว ที่มาพร้อมกับซอฟแวร์ Audio Multimedia ล่าสุดของบริษัท ที่มีการจัดการอินเตอร์เฟซที่ดูเข้าถึงได้ง่ายกว่าเดิมปุ่มควบคุมสภาพอากาศบางแถวอยู่ใต้หน้าจอนี้ และจะมีการปรับเปลี่ยนในส่วนของอุปกรณ์ระบบเสียง โดยเกรด XLE จะได้รับชุดเครื่องเสียง 6 ลำโพง ส่วนรุ่น Limited และ Platinum จะมาพร้อมกับชุดเครื่องเสียง JBL 11 ลำโพงเป็นมาตรฐาน
![]()
![]()
คุณลักษณะอื่นๆ ได้แก่ เบาะนั่งด้านหน้าแบบปรับความร้อนได้มาตรฐาน ผลิตจากหนังสังเคราะห์ SofTex ในขณะที่รุ่น Limited ขึ้นไป จะได้รับเบาะหนังแท้ ฟีเจอร์ความปลอดภัยเชิงรุกของ Toyota Safety Sense 3.0 มาตรฐานจะมีระบบ ตรวจสอบจุดบอด ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบปรับได้ และระบบช่วยดูแลช่องทางเดินรถ ในขณะที่รุ่น Limited ขึ้นไปจะได้รับเซ็นเซอร์จอดรถ และที่ปัดน้ำฝนแบบตรวจจับปริมาณน้ำฝน ส่วนรุ่นท๊อปอย่าง Platinum จะมีการเพิ่มระบบกันสะเทือนแบบปรับได้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ ที่สามารถปรับความแข็งอ่อนได้ตามโหมดการขับขี่
![]()
![]()
![]()
![]()
ยังไม่มีการประกาศราคาอย่างเป็นทางการ สำหรับ 2023 Toyota Crown ในตลาดอเมริกา โดยทางผู้ผลิตได้กล่าวเพียงว่าตัวรถจะพร้อมเข้าสู่โชว์รูมและตัวแทนจำหน่ายในอเมริกาเหนือช่วงฤดูใบไม้ร่วง หรือราวๆ เดือนตุลาคมหรือพฤศจิกายนนี้ และยังไม่มีการเปิดเผยว่า Crown ใหม่นี้จะมีการนำเสนอในตลาดรถยนต์ภูมิภาคอื่นๆ หรือไม่
Credit : www.motortrend.com
[adsforwp id=”1302″]
