กลายเป็นข่าวใหญ่ในวงการยานยนต์เมื่อมีข่าวลือว่า Toyota Crown รุ่นต่อไป จะเปลี่ยนแนวทางจากรถยนต์ซีดานสุดหรูระดับเพชรยอดมงกุฎให้กลายเป็นรถยนต์บนแนวทางของ SUV โดยข่าวนี้ถูกโหมกระหน่ำมากขึ้นหลังจากที่งาน Shanghai Motor Show 2021 เมื่อเมษายนที่ผ่านมานั้นทาง Toyota ได้เปิดตัวเจ้า Crown Kluger ที่ว่ากันว่าจะเป็น Toyota Crown รุ่นต่อไป จึงเป็นที่มาของบทความนี้ โดยเราจะขอพาท่านผู้อ่านได้ย้อนเวลากลับไปสู่จุดเริ่มต้นของเจ้า Toyota Crown ตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบัน รวมไปถึงวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของโมเดลในเจนเนอเรชั่นถัดไปอีกด้วย
[adsforwp id=”1302″]
จุดเริ่มต้น 1955-1961
![]()
1955 Toyota Crown
Toyota Crown เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1955 ในช่วงปฎิวัติอุตสาหกรรมของประเทศญี่ปุ่น หลังจากถูกประกาศให้เป็นผู้แพ้ในสงครามโลกครั้งที่สอง และต้องพัฒนาตัวเองจากหลังสงคราม จนก่อให้เกิดการปฎิวัติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่น (ตรงนี้น่าจะเป็นข้อดีของการพ่ายแพ้ในสงครามโลก) โดยทางผู้ผลิตรายอื่นๆ อย่าง Nissan หรือ Isuzu ก็หันไปจับมือรับเอาเทคโนโลยีการผลิตจากชาติมหาอำนาจในยุโรป ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจาก Toyota ที่ถึงจะสนใจเทคโนโลยีต่างชาติขนาดไหน แต่ก็ยังเทความสนใจในการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง จนมันออกดอกออกผลกลายเป็น Toyota Crown รถยนต์ซีดานสุดหรูคันแรกที่พัฒนาและผลิตโดยการใช้เทคโนโลยีภายในประเทศแบบ 100% ในปี 1995
Toyota Crown ในยุคแรกนั้น มีการออกแบบโครงสร้างเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร รวมไปถึงเทคโนโลยีที่รองรับการผลิตในจำนวนมาก สำหรับรถยนต์นั่งส่วนบุคคล นอกจากนี้ระบบกันสะเทือนด้านหน้ายังเป็นระบบกันสะเทือนแบบอิสระปีกนกคู่ตัวแรกในญี่ปุ่นสำหรับการผลิตจำนวนมาก Crown รุ่นแรกมีการออกแบบที่นำ “Hospitality” ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะของญี่ปุ่นมาใช้ เช่น การนำประตูสองบานที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ เพื่อให้การเข้าออกห้องโดยสารง่ายขึ้น โดยแนวคิดนี้อิงกับผู้ใช้งานเป็นหลัก โดยจะเสริมด้วยความสวยงามที่เป็นมาตรฐานในระดับสากล
เทคโนโลยีที่ทึ่งที่สุดที่ถูกติดตั้งบน Toyota Crown รุ่นแรกก็คือ ระบบเกียร์กึ่งอัตโนมัติสองสปีด “Toyoglide” ที่ถูกนำเสนอเป็นครั้งแรก มันให้ทั้งความสะดวกสบาย รองรับการขับขี่ในระยะทางที่ไกลมากขึ้น สอดคล้องกับห้องโดยสารขนาดใหญ่ ที่สามารถโดยสารได้อย่างสะดวกสบาย ถึงแม้ว่าจะอัดผู้โดยสารเต็ม 5 ที่นั่งก็ยังสามารถเดินทางระยะไกลได้อย่างไม่เมื่อยล้า อีกทั้งยังมีความปลอดภัยระดับสูงด้วยโครงสร้างพิเศษที่มีการออกแบบให้กระจายแรงของการชน เพื่อรักษาไม่ให้ห้องโดยสารเกิดการบิดเบี้ยวถึงแม้ว่าจะถูกชนและพลิกคว่ำอย่างหนัก ซึ่งในยุคสมัยนั้น Toyota Crown มีมาตรฐานความปลอดภัยที่ทัดเทียมผู้ผลิตจากฝั่งยุโรปและอเมริกาเพียงแบรนด์เดียวของญี่ปุ่น
[adsforwp id=”1302″]
พัฒนาต่อ 1962 -1979
![]()
1962 Toyota Crown
หลังจากโลดแล่นบนโลกยานยนต์ 7 ปี ก็ถึงคราวที่ Toyota Crown จะขยับไปสู่อีกขั้น ด้วยการนำเสนอเครื่องยนต์ V8 ตัวแรกที่ผลิตในประเทศญี่ปุ่น อีกทั้งยังเป็นโมเดลแรกๆ ที่ใช้ระบบไฟส่องสว่างด้านหน้าแบบ 4 ดวง แยกซ้ายขวา ซึ่งจะให้ความสว่างที่มากกว่า บวกกับห้องโดยสารที่กว้าง ทำให้โมเดลรุ่นที่สองถูกจัดให้เป็นรถ VIP ที่เลิศหรูที่สุดในช่วงเวลานั้น
![]()
1965 Toyota Crown
ต่อมาในปี 1965 ก็มีการออกรุ่นเล็กที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร แบบหกลูกสูบเรียง ที่มีราคาย่อมลงมาเพื่อให้สามารถเข้าสู่กลุ่มคนชั้นกลางได้มากขึ้น ซึ่งโมเดลนี้เป็นครั้งแรกที่ระบบ “Toyoglide” ถูกปรับจากแบบกึ่งอัตโนมัติเป็นระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบและจัดว่าเป็นโมเดลแรกของรถยนต์ญี่ปุ่นที่มาพร้อมกับระบบเกียร์แบบอัตโนมัติอีกด้วย
![]()
1967 Toyota Crown
ต่อมาในเจนเนอเรชั่นที่ 3 Crown เปิดตัวในปี 1967 เพียงสองปีหลังจากการปล่อยรุ่น 2.0 หกลูกสูบ Toyota ได้นำเสนอความปลอดภัยที่เหนือกว่าด้วยการใช้โครงสร้างแบบ Perimeter Frame เป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น ที่เน้นประสิทธิภาพในด้านความปลอดภัยสูง รวมไปถึงการปรับปรุงเครื่องยนต์เดิมให้มีประสิทธิภาพที่เหนือกว่า และทำการส่งออกไปจำหน่ายในระดับสากลเป็นโมเดลแรก โดยมีตลาดหลักที่อเมริกา และยุโรปอย่างอังกฤษ อิตาลีและสเปน
![]()
1968 Toyota Crown
ต่อมาในปี 1968 Toyota Crown ก็ได้ออกรุ่นพิเศษเพื่อตอบสนองต่อตลาดวัยรุ่นมากขึ้น ด้วยรูปแบบของรถสปอร์ตสองประตู ที่ยังคงความหรูหราและขนาดของประตูที่กว้างเป็นพิเศษ สามารถเข้าออกห้องโดยสารด้านหลังได้สะดวกสบายกว่า และยังพ่วงมากับพวงมาลัยพาวเวอร์และกระจกปรับด้วยไฟฟ้าเป็นโมเดลแรกของทางบริษัทอีกด้วย
![]()
1971 Toyota Crown
รุ่นที่ 4 เป็นครั้งแรกที่ Toyota นำเสนอระบบจ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด EFI พร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ 2.6 ลิตร หกลูกสูบเรียง และที่โดดเด่นไม่แพ้เครื่องยนต์ก็คือรูปลักษณ์ของตัวรถที่ถูกปรับใหม่ให้ทันสมัยมากขึ้น โดยที่ยังคงอิงการออกแบบที่เน้นความสบายของผู้ขับขี่และโดยสาร ด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวาง ส่วนท้ายกระโปรงขนาดใหญ่ที่สามารถเก็บของได้มากมาย และยังเป็นโมเดลแรกที่ติดตั้งะบบเกียร์อัตโนมัติ 3 สปีด และระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวหรือ ESC เพื่อป้องกันการลื่นไถลบนถนนที่มีความชื้นสูง ซึ่งเจ้า Crown รุ่นนั้นนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญกับอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นในปี 1971 เป็นอย่างมาก
![]()
1975 Toyota Crown
ต่อมาอีกเพียง 3 ปี Toyota Crown รุ่นที่ 5 ก็มาถึง โดยโมเดลใหม่ในตอนนั้น นับว่าเป็นโมเดลแรกในโลกที่ใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดพร้อมกับติดตั้งระบบ Overdrive รวมไปถึงการใช้พวงมาลัยแบบพาวเวอร์ที่พัฒนาไปอีกขั้นด้วยการตอบสนองต่อการบังคับที่ไวกว่าทั่วๆไป โดยที่โครงสร้างหลักใหม่ของมันนั้นเน้นความปลอดภัยสูงสุดด้วยการเพิ่มเสากลางตรงระหว่างขอบประตูหน้าและหลัง รวมไปถึงการใช้งานระบบดิสก์เบรก 4 ล้อ แทนที่หม้อเบรกลมที่ด้านหลังจากรุ่นก่อนหน้า
![]()
1980 Toyota Crown
ในรุ่นที่ 6 มีการเปลี่ยนแปลงจากเดิม โดยเพิ่มความเป็นรถสปอร์ตที่เข้มข้นมากขึ้น ซึ่งสามารถขยายฐานผู้ใช้งานในวงที่กว้างขึ้น ครอบคลุมทุกช่วงอายุ และเป็นครั้งแรกที่เครื่องยนต์ถูกปรับให้เป็น DOHC 2.8 ลิตร หกลูกสูบเรียง พ่วงกับการติดตั้งเทอร์โบชาร์จ ซึ่งเป็นอีกครั้งที่ Crown ขยับตัวออกห่างจากรถซีดานทั่วๆไปในท้องตลาด และขยับเข้าใกล้กับความเป็น Luxury Car แบบเต็มตัว
ก้าวสู่ยุคใหม่ 1983-1999
![]()
1983 Toyota Crown
ในปี 1983 Toyota ก็ได้นำเสนอ Crown ในรุ่นที่ 7 พร้อมกับชื่อเล่นที่นักขับรุ่นเก๋าๆ หลายๆ คนจำได้ “Someday Crown” ซึ่งโมเดลใหม่นี้เป็นครั้งแรกที่รถยนต์ญี่ปุ่นนำเสนอเครื่องยนต์ซุปเปอร์ชาร์จและระบบ ESC แบบ 4 ล้อ ซึ่งเป็นพื้นฐานให้กับระบบ ABS ในปัจจุบัน และยังมีระบบการบังคับเลี้ยวแบบ Telescopic Steering ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลก และโมเดลในรุ่นที่ 7 ก็มาพร้อมกับสี Super white ที่กลายเป็นที่จดจำของโมเดลโดยปริยาย
![]()
1987 Toyota Crown
ในปี 1987 รุ่นที่ 8 ของ Toyota Crown ก็กำเนิดขึ้น และเป็นครั้งแรกของรถยนต์ญี่ปุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ DOHC แบบ 4 วาล์วต่อสูบ และการกลับมาอีกครั้งของเครื่องยนต์แบบ V8 4.0 ลิตร อีกทั้งยังเป็นรถยนต์รุ่นแรกๆ ที่นำเอาเทคโนโลยี Electro Multi-vision และระบบ Navigation System มาใช้ในรถยนต์ รวมไปถึงระบบช่วงล่างที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และการติดตั้งถุงลมนิรภัย ซึ่งเป็นโมเดลแรกของผู้ผลิตญี่ปุ่นที่ใส่ใจในความปลอดภัยของผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก
![]()
1990 Toyota Crown
ต่อมาในปี 1990 ระบบ Traction Control ก็ถูกนำมาติดตั้งบน Crown รุ่นที่ 9 โดยมาพร้อมกับเครื่องยนต์ใหม่ 2.5 ลิตร หกลูกสูบเรียง และเป็นครั้งแรกที่ Crown ได้รับระบบกันสะเทือนแบบ 4 Wheel Double Wishbone Air Suspension และพ่วงมากับระบบขับเคลื่อนแบบ 4 ล้ออิสระ ที่ให้คุณภาพการขับขี่ที่หนักหน่วงและการขับขี่ที่สะดวกสบายมากกว่าเดิม ตัวรถยังมาพร้อมกับการนำเสนอระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีดที่ควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยยังคงระบบ Electro Multi-vision และระบบ Navigation System ไว้เหมือนเดิม อีกทั้งยังมีการแตกไลน์ออกมาเป็น Majesta สำหรับความหรูหราขั้นสุดอีกด้วย
![]()
1997 Toyota Crown Majesta II
ต่อมาในรุ่นที่ 10 มีการปรับโครงสร้างใหม่ทั้งคัน ด้วยการใช้เทคโนโลยี Monocoque ที่เอื้อให้โครงสร้างของตัวรถมีน้ำหนักที่เบากว่าเดิม แต่เพิ่มเติมความความรู้สึกในการขับขี่ที่ไม่แข็งกระด้างเหมือนรุ่นก่อนหน้า ความปลอดภัยได้รับการพัฒนาต่อไปไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มระบบ ควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวของรถ VSC และการติดตั้งถุงลมนิรภัยเบาะนั่งด้านหน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
![]()
1999 Toyota Crown
ต่อมาในปี 1999 รุ่นที่ 11 ก็ออกมาสู่สายตาโลก ซึ่งนับว่าเป็นรถยนต์แบบไฮบริดคันแรกๆ ของโลก ด้วยการนำเสนอเครื่องยนต์ 2 ขนาด 2.5 ลิตร และ 3 ลิตร D-4 Engine ที่มีคุณลักษณ์พิเศษไม่เหมือนใครด้วยการฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงเข้าไปยังลูกสูบ หรือระบบ Direct In-cylinder Injection ซึ่งกลายเป็นพื้นฐานให้กับระบบ DI ในรถยนต์ปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงนั้นสะอาดกว่า อีกทั้งยังมีอัตราการสิ้นเปลืองที่น้อยลง ถึงแม้ว่าจะไม่มีกลไกอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ในช่วงเวลานั้นมันก็เป็นอีกนวัตกรรมยานยนต์ที่น่าจะเรียกว่า Mild-Hybrid ได้ถ้าเทียบกับรถยนต์ในปัจจุบัน
Zero Crown 2003-ปัจจุบัน
![]()
2005 Toyota Crown
Zero-Crown ชื่อเล่นของเจนเนอเรชั่นที่ 12 ของตระกูล เปิดตัวครั้งแรกในปี 2003 ด้วยการนำเสนอเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร DOHC หกลูกสูบเรียงที่พ่วงกับระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ 6 สปีด Sequential Shift พร้อมกับการสนับสนุนการขับขี่ในยามค่ำคืนด้วยระบบ Night Driving Support System ซึ่งเป็นพื้นฐานในการพัฒนาระบบ ADAS (Advanced driver-assistance systems) ของ Toyota ในปัจจุบัน ระบบกันสะเทือนแบบควบคุมด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (AVS)
![]()
2009 Toyota Crown Majesta
ปี 2008 Toyota Crown ได้นำเสนอความหรูหราครั้งใหม่ด้วยการติดตั้งหน้าจอแสดงผลคนขับแบบ TFT สมัยใหม่ และเป็นครั้งแรกที่ Toyota Crown เข้าสู่ยุค Hybrid แบบจริงจังด้วยการนำเสนอเครื่องยนต์ 3.5 ลิตร V6 พ่วงกับมอเตอร์ส่งกำลัง ภายใต้รหัสเครื่องยนต์ (THS II)
![]()
2015 Toyota Crown
รุ่นที่ 14 ปรากฎตัวในเดือนธันวาคม ปลายปี 2012 ที่ยังคงใช้งานเครื่องยนต์แบบ Hybrid แต่มีการลดขนาดเครื่องยนต์ลงมาให้เป็น 2.5 ลิตร แบบสี่ลูกสูบเรียง พร้อมกับการออกแบบระบบกันสะเทือนใหม่ทั้งหมด รวมไปถึงกระจังหน้าที่หนากว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ Crown รุ่นที่ 14 กลายเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Crown ที่ยาวนานกว่า 57 ปี
![]()
2018 Toyota Crown Athlete
เดินทางมาถึงรุ่นปัจจุบัน เจนเนอเชั่นที่ 15 เปิดตัวเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2018 ได้ปรับปรุงฟังก์ชั่นการทำงานร่วมกันของสมาร์ทโฟน โดยที่รุ่นใหม่นั้นถูกแบ่งออกเป็นสามรุ่นหลัก ประกอบไปด้วย Crown Majesta ที่เน้นความหรูหราแบบขั้นสุด Crown Royal ที่เน้นความสะดวกสบายในการโดยสาร และ Crown Athlete เอาใจสายสปอร์ตที่ต้องการความคล่องตัวที่ตั้งอยู่บนความสะดวกสบาย โดยขุมกำลังมีทั้งขนาด 3.5 ลิตร 2.5 ลิตร และ 2.0 ลิตรเทอร์โบ เรียงตามรุ่น อีกทั้งยังนำเสนอเทคโนโลยีความปลอดภัย ADAS และระบบ ITS Connect ที่ทำให้รถแต่ละคันที่ติดตั้งเทคโนโลยีนี้สื่อสารกันเองได้
![]()
มาถึงตรงนี้ คงต้องบอกได้เลยว่า Crown เป็นผู้นำยุคด้วยจิตวิญญาณแห่งความท้าทายที่เข้มแข็งมาโดยตลอด ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ความนิยมของรถยนต์ซีดานลดลงและได้รับผลกระทบจากการเข้ามาชิงพื้นที่ในตลาดโดยผู้ผลิตรายอื่นๆ จนทำให้เกิดข่าวลือมากมายถึงการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งของ Toyota Crown ซึ่งเราเองก็เชื่อว่า “เปลี่ยนแน่ๆ” แต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะไปในทิศทางใด แต่สิ่งที่เรารู้เสมอมาก็คือ Crown นั้นมักจะนำเสนออะไรใหม่ๆ กับวงการยานยนต์เสมอมา และรุ่นต่อไปก็คงจะต้องมีอะไรที่สร้างปรากฎการณ์ได้ไม่แพ้รุ่นที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
Credit : bestcarweb.jp
[adsforwp id=”1302″]
