แม้ว่าสภาพตลาดรถยนต์ในปัจจุบัน จะเอนเอียงไปในแนวทางของรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรือรถยนต์แบบครอสโอเวอร์ แต่ในกลุ่มผู้ใช้งานรถมินิแวนแล้ว ก็ถือว่าจะเป็นกลุ่มที่มีขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้งานสำหรับรับรองแขก ผู้บริหารของกลุ่มธุรกิจ หรือการใช้งานในครอบครัวใหญ่
และแน่นอนว่ารถมินิแวนนั้น ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีเจ้าตลาดขาใหญ่อย่าง Alphard และ Vellfire ครองความเป็นเจ้าตลาดอยู่ ดังนั้นมันจึงกลายเป็น สองโมเดลในแนวทางมินิแวน ที่มีผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยล่าสุด ได้มีการเปิดตัวโมเดลในเจนเนอเรชั่นที่ 4 อย่างเป็นทางการ สำหรับตลาดญี่ปุ่นโดยเฉพาะ
Alphard และ Vellfire ใหม่ยังคงเป็นที่จดจำได้ในทันทีแม้ตัวถังจะได้รับการออกแบบใหม่ทั้งหมด โปรไฟล์ที่ใช้ร่วมกันมีบังโคลนที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด เส้นรูปตัว Z ใหม่ใต้หน้าต่างซึ่งเป็นจุดเด่นของเจนเนอเรชั่นใหม่ด้านหน้า กระจังหน้าขนาดใหญ่มีลวดลายอันเป็นเอกลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความแตกต่างระหว่างสองโมเดล โดยเจ้า Alphard มีไฟ LED DRL ใต้ไฟหน้าหลัก ขณะที่ Vellfire ที่ดูสปอร์ตกว่ามีช่องรับลมขนาดใหญ่กว่า ความแตกต่างระหว่างทั้งสองจำกัดอยู่ที่กราฟิกไฟท้าย LED และส่วนล่างของกันชนหลังซึ่งโดดเด่นด้วยขอบที่เฉียบคม
Alphard และ Vellfire ยังคงรักษาขนาดของตัวรถที่ใกล้เคียงของเดิมจากรุ่นก่อนหน้า โดยมีความยาว 4,995 มิลลิเมตร กว้าง 1,850 มิลลิเมตร สูง 1,945 มิลลิเมตร มีฐานล้อกว้าง 3,00 มิลลิเมตร
การตกแต่งภายในเป็นแบบ 6 ที่นั่งแบบ 3 แถวซึ่งออกแบบมาเพื่อมอบ “ความสุขในการเคลื่อนที่ที่สะดวกสบาย” ในขณะที่หรูหรายิ่งขึ้นและเต็มไปด้วยคุณสมบัติเทคโนโลยีที่ทันสมัย ที่นั่งโซนคนขับจะประกอบด้วยแผงหน้าปัดดิจิตอลขนาด 12.3 นิ้ว หน้าจอส่วนควบคุมกลางขนาด 14 นิ้วแบบสัมผัส โดยมีตัวควบคุมระบบไฟ Ambient Light ภายในห้องโดยสาร เพื่อสร้างบรรยากาศตามอารมณ์ในขณะที่โดยสาร ช่องแอร์ด้านหลังติดตั้งบนหลังคาถูกย้ายจากด้านข้างมาไว้ที่กึ่งกลางเพดาน ซึ่งทางผู้ผลิตเรียกว่า “Super-Long Overhead Console”
แม้ว่าจะมีขนาดที่เกือบจะเท่ากับรุ่นก่อนหน้า แต่ตัวรถรุ่นใหม่จะมีพื้นที่วางขาก็เพิ่มขึ้นอีก 5 มิลลิเมตรในแถวที่สอง และ 10 มิลลิเมตรในแถวที่สาม ที่นั่งทั้งหกได้รับการยกเครื่องใหม่ ในขณะที่แถวที่สองสามารถระบุได้ด้วยเก้าอี้กัปตันที่เป็นอุปกรณ์เสริมซึ่งมีที่วางเท้าแบบปรับเอนได้ โต๊ะพับได้ ระบบควบคุมหน้าจอสัมผัส ระบบทำความร้อน/ระบายอากาศ ตลอดจนฟังก์ชันการนวดเพื่อความหรูหราและความสะดวกสบายเป็นพิเศษ เมื่อพูดถึงความสะดวกสบาย ผู้โดยสารแถวที่สองสามารถปรับเอนพนักพิง เปิดหรือปิดม่าน ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งทำให้สามารถพักผ่อนระหว่างการเดินทางที่ยาวนานขึ้นได้
สิ่งใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในตัวรถรุ่นใหม่คือ “Universal Steps” ซึ่งเป็นบันไดสำหรับเข้าสู่ห้องโดยสาร ที่สามารถยืดและหดได้อัตโนมัติทั้งสองด้าน ทำให้เด็กและผู้สูงอายุเข้าถึงห้องโดยสารได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีรุ่นที่ออกแบบมาสำหรับผู้พิการซึ่งมีเบาะนั่งแบบยกขึ้นพิเศษพร้อมกลไกการเอียงและที่วางเท้า
ในส่วนของการพัฒนานั้น ตัวรถทั้งสองรุ่น จะถูกพัฒนาบนแพลตฟอร์ม TNGA-K ซึ่งได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการใช้งานรถมินิแวนโดยเฉพาะ ด้วยแม็กเฟอร์สันสตรัทที่ด้านหน้าและระบบกันสะเทือนแบบปีกนกคู่ที่ได้รับการปรับปรุงที่ด้านหลัง วิศวกรของ Toyota เพิ่มอุปกรณ์ใหม่ คันโยกแบบตรงและค้ำยันรูปตัว V ที่ส่วนหลัง ทำให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า นอกจากนี้ Vellfire ยังได้รับ Front Performance Brace เพิ่มเติมและการปรับแต่งระบบกันสะเทือนที่เป็นเอกลักษณ์เพื่อแสดงให้เห็นถึงลักษณะที่สปอร์ตยิ่งขึ้น
จากการปรับปรุงระบบช่วงล่างใหม่นั้น ทำให้ตัวรถรุ่นใหม่ทั้งสองรุ่น มีการสั่นสะเทือนลดลง 30%ในขณะที่มีการใส่ใจอย่างมากในการจำกัดเสียงจากพื้นถนนและเสียงลม โดยทางผู้ผลิตได้เคลมว่าห้องโดยสารของ Alphard/Vellfire รุ่นใหม่นั้นจะมีเงียบกว่ารุ่นก่อนหน้ามาก ราวกับอยู่กลางป่าลึกเลยทีเดียว
ในแง่ของขุมกำลังนั้น Alphard ระดับเริ่มต้นมาพร้อมกับเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร ที่ให้กำลัง 180 แรงม้า (hp) ในขณะที่ Vellfire ได้รับเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร 4 สูบ เทอร์โบชาร์จที่มีกำลังที่ 275 แรงม้า (hp) มีตัวเลือกระบบขับเคลื่อนทั้งแบบล้อหน้าและสี่ล้อ ส่งกำลังผ่านชุดเกียร์อัตโนมัติ CVT สำหรับ Alphard และเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด สำหรับ Vellfire
และเป็นไปตามสมัยนิยม ตัวรถทั้งสองรุ่นจะมีรุ่นไฮบริด โดยจะใช้งานเครื่องยนต์ไฮบริดร่วมกัน ประกอบด้วย เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยมีให้เลือกระหว่าง 1 ตัว FWD และสองตัว E-Four ในอนาคต Toyota กำลังวางแผนที่จะขยายกลุ่มผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมด้วยการเพิ่มตัวเลือก Plug-in Hybrid หรือ PHEV อย่างแน่นอน
Toyota Alphard และ Vellfire ปี 2024 พร้อมให้สั่งซื้อในญี่ปุ่นแล้ว โดยราคาจำหน่ายเริ่มต้นของ Alphard จะเริ่มต้นที่ 5,400,000 เยน หรือประมาณ 1.33 ล้านบาท ส่วน Vellfire จะมีราคาเริ่มต้นที่ 6,550,000 เยนหรือราวๆ 1.61 ล้านบาท โดยทางผู้ผลิตได้เปิดเผยว่า กำลังการผลิตของตัวรถทั้งสองรุ่นนั้นจะมีกำลังการผลิตที่ 8,500 คันต่อเดือน โดยแบ่งอัตราส่วนเป็น Alphards 70% และ Vellfires 30% และจะใช้โรงงาน Inabe ในญี่ปุ่นเป็นฐานการผลิตหลักทั้งการจำหน่ายภายในประเทศและการส่งออกไปยังภูมิภาคต่างๆ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก www.carscoops.com
