ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Nissan เจอข่าวร้ายรุมเร้า ตั้งแต่ความพยายามควบรวมกับ Honda ที่ล้มเหลว จนต้องเผชิญกับปัญหาเชิงโครงสร้างองค์กรและต้นทุนที่สูงเกินไป แต่ล่าสุด Nissan ได้เปิดตัวแผนฟื้นฟูครั้งใหญ่ชื่อ Re:Nissan ภายใต้ผู้นำคนใหม่ ซึ่งถ้าบริหารดี แผนนี้อาจกลับพลิกวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสได้
CEO คนใหม่ – คนเก่าใจรักรถ
วันที่ 1 เมษายน 2025 Nissan แต่งตั้ง Ivan Espinosa เป็น CEO คนใหม่ เขาเป็นผู้บริหารที่อยู่กับบริษัทมานาน เริ่มต้นจากตำแหน่ง product specialist จนไต่เต้าขึ้นมาถึงจุดสูงสุด และมีชื่อเสียงว่าเป็น “แฟนพันธุ์แท้” ของแบรนด์ — เขาขับ Nissan Z ไปทำงานเป็นประจำ และฝันที่จะเห็น Nissan ผลิตรถสปอร์ตหลายรุ่น ทั้งการกลับมาของ Silvia หรือ GT-R รุ่นใหม่
ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ เมื่อผู้นำที่เป็นคนรักรถเข้ามาเป็น CEO มาบ้างแล้ว อย่าง Akio Toyoda ที่ใช้แนวคิด Gazoo Racing ฟื้น Toyota GR86 / GR Corolla / GR Supra ได้ หรือ Jim Farley ที่ปลุกชีวิตให้ Mustang GTD / Bronco ใหม่ ในขณะนี้ Nissan ก็กำลังเดินในทางเดียวกัน: ผสมผสานความกล้าทำกับสายสัมพันธ์กับแฟนรถ
แผน “Re:Nissan” — มาตรการทั้งหมด 7 ข้อ
Espinosa เปิดตัวแผนฟื้นฟู “Re:Nissan” ซึ่งประกอบด้วย 7 จุดสำคัญ:
-
ลดค่าใช้จ่ายผันแปร (Variable Costs)
-
ลดค่าใช้จ่ายคงที่ (Fixed Costs)
-
ปรับโครงสร้างโรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
-
ลดจำนวนพนักงาน
-
ปรับวิธีพัฒนารถยนต์ให้คล่องตัว
-
นิยามกลยุทธ์ตลาดและผลิตภัณฑ์ใหม่
-
เสริมความร่วมมือกับพันธมิตร
แผนนี้ไม่ได้เป็นแค่แนวคิด — Nissan เริ่มเดินแล้ว เช่น ปิดโรงงาน 2 แห่ง ได้แก่ โรงงาน Oppama ในญี่ปุ่นปิดภายในปี 2028 และโรงงานในเม็กซิโก (Ciudade Industrial del Valle de Cuernavaca) ที่จะปิดเร็ว ๆ นี้ รวมถึงปิดสตูดิโอออกแบบในซานดิเอโกและบราซิล
ในส่วนของโครงการรถใหม่ Nissan ยกเลิกแผนผลิตซีดานไฟฟ้าใหม่ของทั้ง Nissan และ Infiniti และระงับโครงการพัฒนารถหลัง FY26 — ทำให้พนักงานวิจัยและพัฒนากว่า 3,000 คนถูกย้ายไปช่วยควบคุมต้นทุน แผนลดค่าใช้จ่ายรวมตั้งเป้าไว้ $1.7 พันล้านภายในเมษายน 2027 และลดจำนวนพนักงานทั่วโลก 20,000 ตำแหน่ง
ข้อเสี่ยงในระยะสั้น &โอกาสระยะยาว
แน่นอนว่าการตัดกำลังคน ปิดโรงงาน ยกเลิกโปรเจกต์ ดูเป็นเรื่องร้ายแรง — แต่ทั้งหมดมีเหตุผลสนับสนุนในเชิงกลยุทธ์:
-
เมื่อลดโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา Nissan จะมี “ภาระต้องแก้ไขน้อยกว่า” เมื่อปรับตัวในยุคที่ตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
-
คู่แข่งในสหรัฐฯ หลายรายเริ่มหันกลับมาพิจารณารถเบนซินหรือไฮบริดใหม่ ทำให้ Nissan ที่เดินช้าในอดีต อาจได้เปรียบเมื่อไม่ต้องย้อนกลับโครงการเยอะ
กลยุทธ์ขาย – เขย่าตัวเลขให้มีผล
เพื่อกระตุ้นยอดขาย Nissan ใช้กลยุทธ์ใหม่ — “Nissan One” — ให้ดีลเลอร์ได้โบนัสตามปริมาณการขาย:
-
ถ้าดีลเลอร์ขายถึง 90% ของเป้า จะได้เงินโบนัส $350 ต่อคัน
-
ถ้าขายเกิน 110% ของเป้า จะได้สูงสุดถึง $1,200 ต่อคัน
ผลลัพธ์เบื้องต้นดูดี: ยอดขายของ Nissan ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 1.5% เมื่อเทียบปีต่อปี ส่วนแบรนด์ Nissan (ไม่รวม Infiniti) เพิ่ม 2.2% — แม้ Infiniti ยังคงทรุดอยู่
รุ่นที่ทำผลงานโดดเด่นในปี 2025 ได้แก่
-
Kicks: ยอดขายเพิ่มขึ้น 47%
-
Versa: +41.5%
-
Pathfinder: +22.7%
-
Murano: พุ่งขึ้น 124.4% หลังเปิดตัวรุ่นใหม่
-
Z: เพิ่มขึ้น 121.7%
มองอนาคต: ไฮไลต์ที่แฟน Nissan รอคอย
-
แผนปล่อยรถรุ่นใหม่ : Sentra โฉมใหม่, Xterra รุ่นออฟโรด (ปี 2028)
-
ข่าวลือ GT-R เวอร์ชันใหม่ (R36) กำลังพัฒนาอย่างเป็นทางการ — Nissan ยืนยันว่า “GT-R จะกลับมาแน่นอน”
-
แม้หลายคนคาดการณ์ว่า GT-R ใหม่จะเป็นไฟฟ้า แต่บางแหล่งคาดว่ายังคงใช้เครื่องยนต์สันดาป จับคู่กับระบบไฟฟ้าเป็นไฮบริด
แผน “Re:Nissan” คือความเสี่ยงสูง — แต่ก็อาจเป็นท่าไม้ตายในเวลาที่ Nissan ต้องการปรับตัว ถ้าผ่านจุดทรุดนี้ไปได้ Nissan จะมีโครงสร้างเบาขึ้น ผลิตได้คล่อง และมีทรัพยากรเหลือพอสำหรับพัฒนารถสปอร์ตรุ่นใหม่ในยุคที่ตลาดเปลี่ยนเร็ว
ในเมื่อ CEO คือ “คนรักรถ” และแรงจูงใจใหม่อยู่ที่การฟื้นความเป็นแบรนด์ที่แฟนคลับยกย่อง เราอาจได้เห็น Nissan กลับมาอย่างมีสไตล์อีกครั้ง — แต่ทุกอย่างจะสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจในแต่ละวันของ Espinosa และทีมผู้บริหารครับ
ที่มา motor1.com