กระแสความเคลื่อนไหวล่าสุด มีการคาดการณ์ว่าทางบริษัทยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง Great Wall Motors ที่เข้าเทคโอเวอร์โรงงานของ Chevrolet ในไทยเมื่อช่วงต้นปี 2020 ที่ผ่านมานั้น เตรียมที่จะเปิดตัวแบรนด์ในเครือของตัวเองอย่าง Haval อย่างเป็นทางการในไทยช่วงปี 2021 ข้างหน้า พร้อมกับแนะนำรถ SUV รุ่นใหม่ 2 รุ่นประเดิมทำตลาดด้วยกันอย่างรุ่น H6 และ F7X!
[adsforwp id=”1302″]
![]()
สำหรับ Haval H6 นั้น เป็นรถ SUV ขนาดใหญ่ (ไซส์พอๆ กันกับ CR-V และ CX-5) ที่มียอดขายอันดับ 1 ในประเทศจีนล่าสุด ซึ่งมันจะมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตรแบบเทอร์โบชาร์จ ให้แรงม้าสูงสุดมาอยู่ที่ 169 ตัว และยังจะมีเครื่อง 2.0 ลิตรเทอร์โบชาร์จให้เลือกในรุ่นท็อปด้วย มิติของตัวรถจะมีขนาดยาว 4,653 มม. กว้าง 1,886 มม. และสูง 1,730 มม. ระยะฐานล้อจะอยู่ที่ 2,738 มม. โดยจะมากกว่ารุ่นเดิมไปถึง 58 มม. ด้วยกัน
![]()
การเดินเส้นสายโดยรวมของตัวรถจะเน้นความทันสมัย ตามแนวทางของรถ SUV ในยุคนี้ ในขณะที่ส่วนของตัวถังนั้นก็ได้รับการออกแบบกันมาใหม่ด้วย พร้อมด้วยฟีเจอร์ช่วยเหลือด้านความปลอดภัยอย่างครบครัน และมิติภายนอกและภายในของตัวรถนั้น จะมีขนาดใหญ่ขึ้นกว่า H6 โฉมก่อนหน้านี้ เน้นการใช้งานที่สะดวกสบาย และการขับขี่ที่สนุก
[adsforwp id=”1302″]
![]()
และสำหรับ Haval F7X นั้นจะเป็นรถ SUV ขนาดกลาง (กลุ่มเดียวกับ HR-V, CH-R, ZS และ Corolla CROSS ที่เพิ่งจะเปิดตัวกันไป) ขนาด 5 ที่นั่ง ที่จะมาพร้อมกับขุมกำลังเบนซินขนาด 1.5 ลิตรและ 2 ลิตรให้เลือก ระบบเกียร์จะเป็นแบบ DCT 7 สปีด โดยทางค่ายเคลมไว้ว่าในรุ่นท็อปเครื่อง 2 ลิตรนั้น สามารถทำความเร็วตั้งแต่ 0-100 กม./ชม. ได้ในเวลาเพียงแค่ 7.5 วินาทีเท่านั้น ซึ่งจะเน้นการมอบประสบการณ์ที่สนุกสนานในการขับขี่ให้กับผู้ครอบครอง ซึ่งถือว่าตรงนี้เป็นจุดขายที่สำคัญอย่างหนึ่งของรถ SUV ในยุคนี้
![]()
ส่วนฟีเจอร์ต่างๆ นั้นจะประกอบไปด้วย โหมดการขับขี่ถึง 6 โหมด อย่างโหมด Standard (มาตรฐาน), Sport (เน้นความแรง), Mud (ลุยโคลน), Sand (ลุยทางฝุ่นทางทราย), Snow (ลุยหิมะ) และ ECO (ประหยัดน้ำมัน) หน้าจอแสดงผลภายในตัวรถจะเป็นแบบ LCD ขนาด 7 นิ้วสำหรับแดชบอร์ด และขนาด 9 นิ้วสำหรับการแสดงผลมัลติมีเดียต่างๆ ซึ่งรองรับระบบทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto นอกจากนั้นยังเสริมระบบความปลอดภัยด้วย Air Bag ถึง 6 ลูกด้วยกัน, ระบบป้องกันการชน, เบรก ABS และระบบกล้องมองรอบคัน
โดยจุดเด่นอีกอย่างของทั้ง 2 รุ่นที่จะมาประกอบกันในประเทศไทยเราและทำวางขายนั้น ก็คือในเรื่องของราคาค่าตัว ที่เชื่อว่ารุ่นใหญ่อย่าง Haval H6 ตัวท็อปน่าจะมีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ในขณะที่ Haval F7X ตัวท็อปนั้นน่าจะอยู่ราวๆ ไม่เกิน 8 แสนบาท (จากการคาดเดา) ซึ่งต้องมารอติดตามกันว่าสุดท้ายแล้วจะมีการเคาะราคาออกมาที่เท่าไหร่กันแน่ ทางเราจะเกาะติดความเคลื่อนไหว และมาอัพเดทให้ทราบกันทุกๆ ระยะ
[adsforwp id=”1302″]

