นี่คือรถ SUV ขนาดกลางรุ่นใหม่ Shangjie H5 มีราคาค่าตัวอยู่ในช่วง 150,000 – 250,000 หยวน (หรือประมาณราว ๆ 6.8 แสนบาท – 1.13 ล้านบาท) โดย Shangjie ถือได้ว่าเป็นแบรนด์รถยนต์ลำดับที่ 5 ภายใต้การดูแล Harmony Intelligent Mobility Alliance (HIMA) ซึ่งพัฒนาร่วมกันระหว่าง SAIC และ Huawei ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้น 6 พันล้านหยวน (ราว ๆ 27,162 หมื่นล้านบาท) ซึ่งรถรุ่นนี้ถือเป็นรุ่นแรกของแบรนด์เลยก็ว่าได้ และคาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในไม่กี่เดือนต่อจากนี้
✅👍ปัจจุบัน HIMA มีแบรนด์รถยนต์ในเครืออีก 4 แบรนด์ ซึ่งได้แก่ Aito (Seres), Luxeed (Chery), Stelato (BAIC) และ Maextro (JAC) การวางตำแหน่งทางการตลาดของ Shangjie H5 SUV ถือเป็นแบรนด์ที่ราคาจับต้องได้มากที่สุดจากห้าแบรนด์ที่ได้กล่าวไป โดยทางแบรนด์มุ่งเป้าไปที่กลุ่มตลาดหลักๆ ที่มีราคาต่ำกว่า 200,000 หยวน (หรือราว ๆ 9.0 แสนบาท)
📢ทาง SAIC ระบุว่า ตลาดที่มีฐานกำลังซื้อมากที่สุดและมีการแข่งขันที่รุนแรงที่สุดนั้นได้แก่กลุ่มลูกค้าที่มีงบต่ำกว่า 200,000 หยวนในตลาดจีน โดยในปี 2567 ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลภายในประเทศจีน 70% ใช้รถยนต์ที่มีราคาต่ำกว่า 200,000 หยวน
📍Shangjie H5 จะมีคู่แข่งโดยตรงกับรุ่นต่างๆ รวมถึงซีรีส์ BYD Song Plus, Leapmotor C11, Deepal S07 และ Xpeng G6
😀จากภาพอย่างเป็นทางการที่ได้เผยกันนั้น Shangjie H5 จะมีความโดดเด่นด้วยดีไซน์ด้านหน้าแบบปิด ไฟหน้าเรียวเล็ก กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู หลังคาแบบลิดาร์ กรอบหน้าต่างชุบโครเมียม และไฟท้ายแบบทะลุ และที่น่าสนใจคือ รถคันนี้ไม่ได้ใช้มือจับประตูแบบซ่อนยอดนิยม แต่ยังคงใช้มือจับประตูแบบเดิมๆ จะมีล้อให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ แบบ 5 ก้าน และแบบหลายก้าน เป็นต้น
- ระบบช่วยเหลือการขับขี่ขั้นสูงคือ Qiankun ADS 4.0 ของ Huawei ซึ่งมีให้เลือก 4 รุ่น
- โดยรุ่นเรือธง คือรุ่น Ultra ที่มีระบบรองรับการขับขี่บนทางหลวงได้ในระดับ 3
⭕และในขณะนี้ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดภายในของห้องโดยสารแต่อย่างใด และคาดว่าจะมาพร้อมระบบห้องโดยสารอัจฉริยะ Harmony ของ Huawei เป็นมาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ซึ่งจะรองรับการโต้ตอบแบบหลายหน้าจอและระบบสั่งงานด้วยเสียง AI อีกด้วย
ก่อนที่จะมีการเปิดเผยภาพอย่างเป็นทางการ Shangjie ได้แชร์ภาพทีเซอร์เมื่อต้นสัปดาห์นี้ ให้ได้เห็นกันบางแต่ ณ เวลานี้ ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับระบบส่งกำลัง เราจะติดตามข้อมูลเพิ่มเติมอย่างใกล้ชิดต่อไป
ที่มา: carnewschina.com